Saturday, 5 March 2011

เรื่องเกี่ยวกับประชากรโลก ที่คุณอาจไม่เคยรู้!



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก nationalgeographic.com



เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ได้เปิดเผยเค้าโครงหน้าของคนที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดในโลก หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ใบหน้าของคนหน้าโหลที่สุดในโลกนั่นเอง 


โดยเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ได้ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์ปักกิ่ง ประเทศจีน ในการเก็บสถิติเกี่ยวกับใบหน้าที่พบเห็นได้มากที่สุดในโลก โดยใช้เวลาในการศึกษามากว่า 10 ปี เพื่อรวบรวมใบหน้าคนทั่วโลกมาวิเคราะห์ และพบว่า ลักษณะใบหน้าที่สามารถพบเห็นกันเกลื่อนตามท้องถนน คือ ใบหน้าตามแบบฉบับของชาวจีนที่เห็นดังภาพ ซึ่งผู้ที่มีใบหน้าในลักษณะนี้ มีจำนวนมากถึง 9 ล้านคนทั่วโลกเลยทีเดียว  

ใบหน้าดังกล่าวถูกนำไปตีพิมพ์ลงในนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ประจำเดือนมีนาคม ที่นำเสนอผลวิจัยหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับประชากรบนโลก ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องของใบหน้าที่พบเห็นได้มากที่สุดในโลกแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งเรานำมาฝากกันเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนี้



  •  คนทั่วโลกส่วนใหญ่ถนัดมือขวา
  • คนทั่วโลกส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่า 422,880 บาทต่อปี
  • คนทั่วโลกส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่มีบัญชีเงินฝากในธนาคาร
  • อายุเฉลี่ยของประชากรบนโลกอยู่ที่ 28 ปี!!
  • กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก คือ ฮั่น
  • ประชากรชายฮอลแลนด์มีส่วนสูงเฉลี่ยที่ 5 ฟุต 11 นิ้ว หรือ 178 เซนติเมตร ขณะที่ชายชาว    เปรูมีส่วนสูงเฉลี่ยเพียง 5 ฟุต 5 นิ้ว หรือ 162 เซนติเมตร
  • ประชากรหญิงชาวญี่ปุ่น มีอายุเฉลี่ย 86 ปี ขณะที่หญิงชาวอัฟกานิสถานมีอายุเฉลี่ยเพียง 45 ปีเท่านั้น
  • ประชากรชาวอเมริกันใช้น้ำเฉลี่ยคนละ 100 แกลลอนต่อวัน ขณะที่เอธิโอเปียใช้น้ำวันละ 2.5 แกลลอนเท่านั้น (และต้องใช้เวลารวบรวมน้ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันกว่าจะได้นำมาบริโภค)
  • ภาษาพูดที่ใช้กันมากที่สุดในโลก ได้แก่ แมนดาริน คิดเป็น 13% ของทั้งหมด ขณะที่คนใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพูดเพียง 5% เท่านั้น
  • 19 % ของประชากรทั้งหมดเป็นชาวจีน ขณะที่ 4% เป็นชาวอเมริกัน
  • 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดนับถือศาสนาคริสต์, 21% เป็นมุสลิม และ 13% นับถือศาสนาฮินดู
  • ประชากร 51% อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่
  • ประชากร 40% ทำงานภาคการบริการ, 38% ทำงานภาคอุตสาหกรรม, และ 22% ทำเกษตรกรรม
  • ประชากรมากกว่า 4 ใน 5 ของทั้งหมด ได้รับการศึกษา








ที่มา: kapook.com

No comments:

Post a Comment