Saturday 3 April 2010

คุณชอบนิ้วไหน?



โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย
คุณชอบนิ้วไหนมากที่สุด?


หัวหัวแม่มือ

คุณเป็นคนแปลกไม่แคร์สังคม ไม่แคร์สายตาผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบฉบับชองตัวเองมากที่สุด คุณมีความเชื่อมั่นมากและมีความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบ กฏของสังคมไม่สามารถมาล้อมกรอบคุณได้ทั้งนี้เป็นเพราะ คุณมีความอิสระซ่อนเร้นอยู่มากมายความหลักแหลมซื่อสัตย์ ตะลุยฟันผ่าไปค้นหาในสิ่งที่คุณอยากได้ คุณจะไม่สนใจอะไรแบบมองผ่านๆ ไปที ความสนใจของคุณที่มีต่อสิ่งที่คุณสนใจอยู่จึงมีมาก อารมณ์รุนแรงความโกรธของคุณรุนแรง กระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้าก็พังพินาศหมด



นิ้วชี้

คุณมักจะชอบทำอะไรแปลก ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน คุณมีเสน่ห์บางอย่างในตัวที่ดึงดูดใจผู้ที่มาใกล้ชิด มีแบบฉบับการแต่งตัวเป็นของตัวเอง มีความเชื่อมั่นว่าตัวคุณจะดูดีในชุดที่เลือกใส่เอง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปวิงตามแฟชั่นให้มันเมื่อยตุ้ม คุณรักความหรูหราแบบแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร ยิ่งเป็นเครื่องประดับที่แปลกๆ หายากหรือไม่เหมือนชาวบ้านด้วยแล้วเป็นอะไรที่คุณโปรดปรานมากเลย ความเฉลียวฉลาด ความสง่างามของคุณนั้นนับว่าเป้าสาวไฮโซทรงเสน่ห์ ที่มีแรงดึงดูดเพศตรงข้ามได้มากมายมีรสนิยมสูง หนุ่มคนใดหวังจะชวนคุณไปทานข้าวละก็ จำไว้เลยว่าร้านข้าวแกงข้างถนนน่ะชวนได้ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ต่อไปคุณไม่ไปไหนมาไหนกับหนุ่มคนนี้อีก อย่าลืมว่าคุณชอบของแปลก ๆ ในความแปลกของคุณน่ะคือจุดอ่อน


นิ้วกลาง

คุณเป็นคนที่มีจิตใจรื่นเริงแจ่มใส มีจิตนาการสูงในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ คุณมีบทบาทมากมายในชีวิตบางทีคุณก็ดูเงียบขรึมบางทีคุณก็ดูร่าเริง และในบางครั้งคุณก็จะทำตัวเป็นที่น่าส่งสารของผู้ได้พบเห็น คุณเป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นผู้หญิงที่ขี้อายถ่อมตน คุณมักจะประหม่าหรือเคอะเขินเมื่อยู่ใกล้ชายหนุ่ม นิสัยไม่มั่นใจในตัวเอง คุณจึงกลัวไปทุกเรื่อง กลัวว่าจะสวยไม่พอบ้างล่ะ ..... กลัวว่าหุ่นจะไม่ดีบ้างล่ะ ..... กลัวว่าคุณจะไม่ฉลาดพอบ้างล่ะ หนุ่มใดมาจีบคุณต้องสร้างความมั่นใจให้กับคุณโดยการพูดซ้ำบ่อยๆ ให้คุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณมีอยู่น่ะดีเลิศวิเศษหรู คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของผม (ทำนองเดียวกับบ้ายอนะแหละ)


นิ้วนาง

คุณเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง หนุ่มใดที่มาใกล้ชิดคุณเอาอกเอาใจคุณ แต่ไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา(เสแสร้ง) คุณจะเกลียดมากจนไม่อยากจะเจอะเจออีกเลย แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ชอบเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตา มาตามจีบคุณหรือให้ความสนใจในตัวคุณ คุณเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้นิสัยคุณจริง ๆ คือ คนที่ใกล้ชิดคุณเท่านั้น ที่จะรู้ว่าภายใต้ความรู้สึกที่เข้มแข็งของคุณนั้น คือความบอบบางคุณเป็นคนที่ชอบคุยและก็คุยได้สนุกเสียด้วยสิ การได้โต้เถียงหรือทำตัวเหมือนดื้อรั้นคือความสุขของคุณจริงๆ คุณอาจจะรู้สึกเหงาหรือไม่มีเพื่อน ถึงแม้คุณจะผิดหวังอกหัก แต่คุณก็สามารถบอกกับใคร ๆ ได้ว่าธรรมดาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่ได้ใส่ใจด้วย ทั้งที่ลึกๆ แล้วคุณปวดร้าวน่าดู ก็แค่ระยะเวลาไม่นานนักคุณก็จะกลับมาเฮฮาปาร์ตี้ได้เหมือนเดิม


นิ้วก้อย

คุณมักจะตกอยู่ในโลกของความฝันมากกว่าโลกของความเป็นจริง มีนิสัยน่ารักแต่เก็บกดมักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของคุณออกมาให้คนอื่นได้รู้ได้เห็น ในเรื่องของความรัก คุณมักจะคล้อยตามอารมณ์ ความรู้สึกร่วมไปด้วยเสมอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น คุณอาจจะร้องไห้เมื่อเพื่อนสนิทของคุณอกหัก หรืออาจจะกรี๊ดกร๊าดเมื่อเพื่อนคุณมีความสุข เมื่อพบกับหนุ่มหล่อเท่ คุณเป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น พอใจในคนรักของตัวเองไม่จุกจิกจนน่ารำคาญใจ ผู้ใดใกล้ชิดหรืออยู่ด้วยก็สบายใจไปแปดอย่าง เวลาที่ชายหนุ่มได้คุยกับคุณสักพักเขาจะรู้สึกสบายใจและสนุกสาน คุณมีคุณสมบัติของลูกผู้หญิงเต็มตัวลักษณะเด่นของคุณ คือคุณสามารถทำให้ผู้ชายรู้สึกตัวว่าอยู่ด้วยแล้วมีความสุข คุณเป็นคนที่จริงใจกับความรักเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยลืมวันสำคัญๆ เลย ลึก ๆแล้วคุณเป็นคนที่โรแมนติกนะจ๊ะ


Friday 2 April 2010

Could I Have This Dance

I'm playing this beautiful song I do love which I found romantic as well. Anne Murray voice is very plesant and it makes me happy everytime I listen to the song. I also like her other songs as well but I'll post that later.


"Could I Have This Dance" is a 1980 single by Anne Murray. "Could I Have This Dance" was included in the 1980 film "Urban Cowboy" and would be Anne Murray's fifth number one country hit as a solo artist. The single went to number one for one week and spent a total of ten weeks on the country chart. "Could I Have This Dance" would also be Anne Murray's tenth Top 40 hit peaking at number thirty-three. The song was written by Wayland Holyfield and Bob House.


Source: wikipedia







Could I Have This Dance

I'll always remember the song they were playin',
The first time we danced and I knew,
As we swayed to the music and held to each other,
I fell in love with you.


Could I have this dance for the rest of my life?
Would you be my partner every night?
When we're together, it feels so right.
Could I have this dance for the rest of my life?


I'll always remember that magic moment,
When I held you close to me.
Cause we moved together, I knew forever,
You're all I'll ever need


Could I have this dance for the rest of my life?
Would you be my partner every night?
When we're together, it feels so right.
Could I have this dance for the rest of my life?

JakPak: an all-in-one waterproof jacket, sleeping bag and tent
















Hurricanes and women



Q: WHY ARE HURRICANES NORMALLY NAMED AFTER WOMEN?

A:  Because when they come, they're wild and wet.

But when they go, they take your house and car with them.



Source: forward e-mail

Google Logos: Hans Christian Andersen



It's 2nd April adn this year it's 205th birthday of Hans Christian Andersen, the author and poet for his fomous children's stories like "The Little Mermaid", "Thumbelina", "The Little Match Girl", and "The Ugly Duckling".

Here are five logos by Google to celebrate his birthday in 2010. They are all cute!


















photos: google


Thursday 1 April 2010

18 สุดยอดเรื่องอำในวัน April Fool's Day



อันดับ 1: ฤดูเก็บเกี่ยวสปาเก็ตตี้ที่สวิส (The Swiss Spaghetti Harvest)

1957: สำนักข่าว BBC เผยแพร่ภาพ ทัศนีย์ภาพยุโรปในฤดูหนาวและชาวไร่คนหนึ่งกำลังมีความสุขในการดึงสปาเกตตี้ลงจากต้นไม้(ประมาณว่าเหมือนถั่วฝักยาว) พร้อมประกาศว่าชาวไร่ประเทศสวิคเซอร์แลนด์ประสบความสำเร็จในการปลูกต้นสปาเกตตี้แล้วจ้า ต่อไปนี้เราไม่ต้องง้อไข่อีกต่อไป เพราะต้นสปาเกตตี้นี้ออกผลเป็นสปาเกตตี้ ยาวๆ น่ากินมากๆ พร้อมกันนี้ BBC ได้กล่าวส่งท้ายว่า เส้นสปาเก็ตตี้นี้เหมาะแก่การกินกับซอสมะเขื่อเทศเป็นที่ชู๊ด!!

(อัตราความเชื่อ 1 เชื่อก็บ้าแล้ว แต่ผู้ชมต่างพากันโทรศัพท์ไปที่สถานีด้วยความอยากรู้วิธีปลูกต้นสปาเก็ตตี้เองบ้าง)


อันดับ 2: Sidd Finch

1985: Sports Illustrated นิตรสารกีฬาลลงภาพ นักกีฬาคนหนึ่งชื่อ Sidd Finch เขาสามารถขว้างเบสบอลไปไกลกว่า 168 mph และพุ่งแหลมไปไกลกว่า 65 mph โดยนายคนนั้นให้สัมภาษณ์ว่าตอนแรกนั้นเขาเล่นกีฬาไม่เอาไหนเลย จนกระทั้งเขาไปฝึกวิทยายุทธ์ที่วัดธิเบต จนเขามีพรสวรรค์ดังกล่าว

(อัตราความเชื่อ 5 ถ้านายบอกว่าไปฝึกที่วัดวัดเส้าหลินจะน่าเชื่อกว่า)


อันดับ 3: แปลงสี TV แบบเร่งด่วน ( Instant Color TV)

1962: บางครั้งบางทีเรื่องโกหกก็กลายเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ทีวียังเป็นข่าวดำอยู่ และประเทศสวีเดนก็มีทีวีเพียงช่องเดียวเท่านั้น และก็ออกข่าวเรื่อง นาย Kjell Stensson ผู้วชาญแห่งสถานีดังกล่าวได้ประกาศว่า ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของกระผมสามารถทำให้สถานีโทรทัศน์ของเราแปลงภาพเป็นสีๆ ได้แล้วนะครับท่าน โดยใช้วิธีง่ายๆ โดยการดึงถุงน่องไนลอนคลุม!! จอโทรทัศน์ ผู้ชมนับแสนทำตามโดยไม่รอช้า(เหอๆ มุกมันใช้ได้)

(อัตราความเชื่อ 10 เนื่องจากว่ามีทางเป็นไปได้ และในอนาคตต่อมาทีวีก็มีช่องสีจริง!!)


อันดับ 4: The Taco Liberty Bell
1996: บริษัทกระดิ่ง The Taco Bell ประกาศเชิญชวนให้ประชาชนชื้อกระดิ่งอิสรภาพและเปลี่ยนชื่อเป็นกระดิงอิสรภาพ Taco เพื่อลดหนี้สินของประเทศ และขอให้ผูกกระดิ่งไว้ที่บ้านเพื่อแสดงความโกรธแค้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งชาติในฟิลาเดลเฟีย

(อัตราความเชื่อ 6 ผลคือประชาชนแห่มาซื้อ เจ้าของกระดิ่งรวยกันไป)


อันดับ 5: San Serriffe
1977: หนังสือพิมพ์อังกฤษ The Guardian ได้จัดโปรแกรทท่องเที่ยว เป็นสาธารณเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อ ซองเซริฟฟ์ (San Serriffe ) ประกอบด้วยเกาะต่างๆรูปร่างเหมือนเครื่องหมายอัฒภาค (;) เป็นประเทศที่ตั้งในมหาสมุทรอินเดีย โดยมีสองเกาะ คือเกาะใหญ่ชื่ออัปเพอร์แคส (ตัวพิมพ์ใหญ่) และโลเวอร์แคส (ตัวพิมพ์เล็ก) ทั้งๆที่ความจริง มันไม่มีประเทศนี้บนโลกหรอกนะ

(อัตราความเชื่อ 7 เรื่องนี้โดนหลอกอย่างกว้างขวาง)


อันดับ 6: นิกสันเพื่อประชาชน (Nixon for President)


1992: วิทยุสาธารณะแห่งชาติ Talk of the Nation แจ้งข่าวว่า ริชาร์ด นิกสัน(Richard Nixon)ได้ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันต้องประหลาดใจ เมื่อเขาประกาศว่าเขาจะกลับมาเป็นประธานาธิปดีสหรัฐอีกครั้ง พร้อมเปิดคำขวัญรณรงค์ใหม่ว่า "I didn't do anything wrong, and I won't do it again.(ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดและฉันจะไม่ทำมันอีกแล้ว)" (ล้อนิกสันในเรื่องคดีวอเตอร์เกต) แถมมีคลิปเสียงของนิกสันซะด้วย ภายหลังก็มีการประกาศว่านี้เป็นการล้อเล่นวันเอพริลฟูลและเสียงของนิกสันนั้นเป็นเสียงของนักแสดงตลกคนหนึ่งปลอมเสียงไว้

(อัตราความเชื่อ 10 เนื่องจากอเมริกาหน่ายนิกสันเต็มแก่ เจอข่าวแบบนี้ก็เชื่อแหละ!!)


อันดับ 7: การเปลี่ยนแปลงค่า Pi ที่อาบาม่า (Alabama Changes the Value of Pi)

1998: หนังสือพิมพ์ New Mexicans for Science and Reason(เป็นหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับข่าววิทยาศาสตร์) ได้ลงข่าวว่ารัฐ Alabama มีออกเสียงโหวตให้เปลี่ยนแปลงค่า Pi จาก 3.14157 เป็น 3.0 ตามคัมภีร์ไบเบิลในศาสนาคริสต์ บทความดังกล่าวที่ว่าเริ่มต้นจากอินเตอร์เน็ตและมันไม่ช้ามันก็แพร่อย่างรวดเร็ว จนทางการของ Alabama ต้องรับโทรศัพท์อย่างหูดับปากไหม้โดยคนที่โทรมาคัดค้านบัญญัติกฎหมายเป็นร้อยๆ ราย ก่อนที่จะรู้ว่านี้เป็นการล้อเล่นในวันเอพริลฟูลจ้า(ฮ่าๆ) โดยเจ้าของเรื่องโกหกนี้เป็นนักฟิสิกส์คนหนึ่งที่ชื่อว่า Mark Boslough

(อัตราความเชื่อ5 เนื่องจากผมไม่รู้จักค่า Pi คืออะไร ใครไม่รู้ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เหอๆ)


อันดับ 8: พิเศษสำหรับคนถนัดมือซ้าย (The Left-Handed Whopper)

1998: กษัตริย์เบอร์เกอร์(เบอร์เกอร์คิง-Burger King)ได้ลงโฆษณาทั่วอเมริกาว่า ท่านทั้งหลายจงลิ้มลองเมนูใหม่ของเรา ""The Left-Handed Whopper"หรือเบอร์เกอร์สำหรับคนถนัดซ้าย เราได้ออกแบบเบอร์เกอร์เพื่อชาวอเมริที่ถนัดมือซ้ายกว่า 32 ล้านคน เบอร์เกอร์ของเรานั้นมีองค์ประกอบเหมือนเดิมทุกอย่าง(ผักกระหล่ำ, มะเขือเทศ,ชีส ,เนื้อX แต่พิเศษคือทางเราได้ใช้เครื่องปรุงที่มีประโยชน์สำหรับคนถนัดซ้ายเท่านั้น (วันต่อมากษัตริย์เบอร์เกอร์ก็ออกข่าวว่านี้เป็นการล้อเล่นในวันเอพริลฟูล แต่กระนั้นลูกค้าจำนวนมากต่างเข้ามาในร้านและสอบถามเมนูนี้อย่างจ้าระหวั่น จนข่าวหนังสือพิมพ์ออกข่าวว่า "มีลูกค้าหลายรายเรียกร้องให้กษัตริย์เบอร์เกอร์ออกเมนูสำหรับคนถนัดขวาบ้างได้ไหม น้อยใจแล้วนะตัวเอง"

(อัตราความเชื่อ 2 ยังอุตส่าห์มีคนเชื่อเนอะ แต่เรื่องถนัดซ้าย-ขวานั้นก็ไม่เข้าใครออกใคร)


อันดับ 9: ตัวเจาะน้ำแข็ง(Hotheaded Naked Ice Borers)

1995: นิตยสาร Discover Magazine ลงข่าวว่านักสัตวชีววิทยา Dr. Aprile Pazzo ได้ค้นพบสัตว์ชนิดใหม่ในทวีปแอนตาร์กติก(ขั้วโลกใต้) และตั้งชื่อมันว่า Hotheaded Naked Ice Borers เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่มีกะโหลกศีรษะคล้ายแผ่นจานที่มีความร้อนสูงมาเนื่องจากมีเส้นเลือดไปไหลเวียนจำนวนมาก จนสามารถใช้ความร้อนจากศีรษะของมันขุดเจาะ หลอมหลายหิมะหรือน้ำแข็งได้อย่างสบายๆ โดยสัตว์ตัวนี้ใช้ความสามารถนี้ในการล่านกเพนกวินเป็นอาหาร และDr. Aprile Pazzo ยังกล่าวอีกว่าสัตว์ประหลาดชนิดนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของนักสำรวจทวีปแอนตาร์กติก Philippe Poisson ในปี 1837 "มันเจาะรูน้ำแข็งเพื่อล่อเขาให้ตก เพราะมันคงคิดว่าเขาเป็นนกเพนกวินนะ " Dr. Aprile กล่าวส่งท้าย

(อัตราความเชื่อ 6 เกือบเชื่อแล้ว มาเสียตรงเรื่อง Philippe Poisson นี้แหละ)


อันดับ 10: แรงดึงดูดลดลงเพราะการจัดเรียงของดาวนพเคราะห์ (Planetary Alignment Decreases Gravity)

1976: นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ Patrick Moore ได้ประกาศผ่านวิทยุ BBC เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากแต่เราทุกคนสามารถสัมผัสปรากฏการณ์นี้ได้ที่บ้านของตนเอง คือในเวลา 9:47 ดาวเคราะห์พลูโตจะโคจรไปอยู่ด้านหลังชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนเป็นสาเหตุให้แรงดึงดูดของโลกถูกหักล้างชั่วคราว ทำให้โลกของเราไร้แรงดึงดูดและแรงโน้นถ่วงของโลกลดลง ซึ่งผู้ชมทางบ้านสามารถพิสูจน์ด้วนการกระโดดสูงๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว

หลังจากออกข่าวนี้ มีผู้ชมทางบ้านหลายคนโทรถามปรากฏการณ์นี้เพียบ บางคนอ้างว่าตัวเองรู้สึกถึงการไร้แรงดึงดูดเลยไปเลย และผู้หญิงคนหนึ่งอ้าวว่าเพื่อน 11 คนของเธอลอยแบบไร้แรงดึงดูดไปรอบๆ ห้อง(เอ็งโกหกบ้าง ตรูก็โกหกบ้างสิ)

(อัตราความเชื่อ 8 ถ้ามีจริงๆ ก็ดีสิ)


อันดับ 11: ยูเอฟโอที่ลอนดอน(UFO Lands in London)


1989: วันที่ 31 มีนาคม 1989 ผู้คนที่กำลังขับรถยนต์ในทางด่วนของลอนดอน ต่างแตกตื่นเมื่อพบเห็นจานบินบนท้องฟ้าลึกลับลำหนึ่งรูปร่างเหมือนจานประหลาด และจานบินลำนั้นก็ร่อนลงพื้นๆ อย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าตำรวจที่ถูกเรียกมารักษาความปลอดภัยเต็มท้องถนน เมื่อจานบินร่อนไปกับพื้น ตำรวจผู้กล้าคนหนึ่งได้เดินนำหน้าเพื่อเผชิญกับจานบินดังกล่าว และเมื่อประตูจานบินเปิดออกมา และมีร่างในชุดสีน้ำเงินลงมา ทุกคนต่างกริ๊ดๆ เป็นแถวๆ เพราะปรากฏว่าเป็นจานบินปลอมจ้า เนื่องจากจานบินที่ว่าเป็นเพียงบอลลูนที่ตกแต่งเหมือนจานบิน และคนที่เดินออกมาในชุดสีน้ำเงินก็เป็นผู้ชายธรรมด๊าธรรมดานามว่า Richard Branson อายุ 36 ปี โดยเขาเล่าว่าตอนแรกเขาจะร่อนจานบินล้อเล่นนี้ที่เมืองใน Hyde ในวันที่ 1 เมษายน แต่คำนวณพลาดไปหน่อย เพราะแรงลมไม่ดี เลยร่องลงแบบฉุกเฉินนี้แหละ

(อัตราความเชื่อ ไม่มี)


อันดับ 12: นกเพนกวินบินได้ (Flying Penguins)
2008: โลกตะลึง BBC ได้นำเอาภาพวีดีโอเหลือเชื่อที่มีคนเอากล้องไปถ่ายที่ขั้วโลกใต้มาแพร่ภาพ มันเป็นภาพวิวัฒนาการมหัศจรรย์ของนกเพนกวิน นั้นคือ "นกเพนกวินบินได้!!" โอ้พระเจ้าจอร์ด ฝูงนกเพนกวินหลายตัวใช้ปีกเล็กๆ ของมันบินราวกับฝูงเครื่องบิน ผู้รู้อธิบายอย่างมีหลักการว่า เป็นเพราะโลกร้อนนะ ทำให้อากาศขั้วโลกใต้แปรปรวน จนนกเพนกวินทนไม่ไหว มันเลยเร่งวิวัฒนาการตัวเองเพื่อบินได้ โดยมันจะบินอพยพลงไปในพื้นที่เขตร้อนหรือที่อบอุ่นกว่า เช่นอเมริกาใต้เป็นต้น

(อัตราความเชื่อ 6 โลกมันร้อนนี้)


อันดับ 13: ร่างที่พบในล็อกเนส (The Body of Nessie Found)

1972: 31 มีนาคม 1972 ทีมของนักสัตว์วิทยาจาก สวนสัตว์ Yorkshire's Flamingo Park กำลังตามล่าหาสัตว์ลึกลับที่ชื่อเนสซี จนกระทั้งค้นพบซากลึกลับของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนส พวกเขาแบกซากศพดังกล่าวเอาไปใส่รถตู้เพื่อนำไปตรวจสอบที่สวนสัตว์ แต่ระหว่างทางดันไปเจอตำรวจไล่หลัง เพราะตำรวจสงสัยว่ารถตู้คันนี้ใส่สิ่งผิดกฎหมาย และสั่งให้รถหยุดและตำรวจก็พูดกฎหมายว่าด้วยห้ามขนย้านสิ่งที่ไม่สามารถระบุได้จากทะเลสาปล็อกเนสปี 1933 ตำรวจทำการยึดซากดังกล่าวเอาไว้ และนำไปตรวจสอบที่อื่นและก็พบว่ามันเป็นซากศพของช้างน้ำธรรมดาเท่านั้น

วันต่อมาเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ John Shields ออกมารับสารภาพว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาที่จะแกล้งเพื่อนร่วมงานในวันเอพริลฟูล โดยการนำซากช้างน้ำที่ตายแล้วกว่าสัปดาห์จากสวนสัตว์อื่น ตัดหนวดและขนของมันเสีย ยัดก้อนหินให้ตัวหนักขึ้นและแช่แข็งเอาไว้เป็นสัปดาห์ เมื่อถึงเวลาก็หย่อนลงไปในทะเลสาป และโทรศัพท์ลึกลับปลอมแจ้งเหตุ แต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนก็คือดันไปเจอตำรวจระหว่างทางซะนี้

(อัตราความเชื่อ 0 เพราะตำรวจแท้ๆ เชียว ไม่งั้นเรื่องนี้จะฮ่ามากนะจะบอกให้)


อันดับ 14: เกี่ยวกับเวลา (Metric Time)

This Day Tonight รายการข่าวออสเตรเลียประกาศให้ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบมาตรเวลาใหม่ โดยเปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็น 100 วินาทีเท่ากับ 1 นาที. 100 นาทีเท่ากับ 1 ชั่วโมง และ 20 ชั่วโมงเท่ากับ 1 วัน นอกจากนี้ชื่อก็เปลี่ยนไปด้วย จากวินาทีกลายเป็นมิลลิเดย์ (millidays).นาทีเกลายเป็นเซนตริเดย์ (centridays), และชั่วโมงเกลายเป็นเดซิเดย์ (decidays) ราบการนี้มีการสัมภาษณ์กับนายกรัฐมนตรีด้วย รวมไปถึงการโชว์นาฬิกาแบบใหม่ที่มีหน้าปัด 10 ชั่วโมง ผลที่ตามมาคือคนหลายคนเชื่อซะด้วย

(อัตราความเชื่อ 8 ไม่มีข้อคิดเห็น.....)


อันดับ 15: การบินของผู้ชายคนหนึ่งโดยใช้พลังปอด(Man Flies By Own Lung Power)

1934: ในเมษายน 1934 หนังสือพิมพ์แห่งสหรัฐอเมริกาจำนวนมากมาย, รวมถึง The New York ได้ลงภาพชายคนหนึ่งที่บินขึ้นฟ้าด้วยอุปกรณ์ขับเคลิ้อรเฉพาะโดยใช้พลังลมหายใจ(เป่า)จากปอดของเขา หนังสือพิมพ์ได้สารยายสิ่งประดิษฐ์ใหม่อัศจรรย์นี้ว่า คนในภาพเป็นคนเยอรมันชื่อ Erich Kocher, ผู้สามารถเก็บลมหายใจใส่ในกล่องที่ติดกับหน้าอกซึ่งจะกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานและยกตัวเขาลอยเหนือพื้นดินสิ่ง โดยอุปกรณ์นี้ประกอบด้วยเกียร์เร่งและครีบหาง และตั้งชื่อว่า "เครื่องยนต์พลังปอด" ภายหลังก็รู้ที่มาว่าเป็นการล่อเล่นในวันเทศกาลคนโง่ของคนเบอร์ลิน

(อัตราความเชื่อ 3 ใช้พลังตดจะน่าเชื่อกว่า)


อันดับ 16: ก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่ซิดนีย์(The Sydney Iceberg)
1978: เรือท้องแบนขนส่งลำหนึ่งปรากฏตัวในท่าเรือซิดนีย์ ที่น่าสนใจคือมันลากภูเขาน้ำแข็งยักษ์มาด้วย โดนมหาเศรษฐีเงินล้านผู้รักการผจญภัย Smith (เป็นเจ้าของร้านอาหาร ) กล่าวว่าเขาลากเจ้าก้อนน้ำแข็งนี้มาจากทวีปแอนตาร์ติก โดยเขาจะเฉือนเจ้าก้อนน้ำแข็งนี้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ขายให้แก่คนสนใจในราคา 10 เซ็นต์ โดยเขาอวดสรรพคุณว่าน้ำแข็งจากแอนตาร์ติกนะเป็นน้ำแข็งบริสุทธิ์, สด เวลาจะใส่ในเครื่องดื่มใดๆ จะทำให้รสชาติมันอร่อยขึ้น

แต่แล้วเรื่องความลับของน้ำแข็งยักษ์นี้ก็แตก เมื่อฝนตกลงมา ชะล้างเอาเศษโฟมและครีมโกนหนวดออกหมด ทกให้หลายคนรู้ว่าเจ้าน้ำแข็งก้อนนั้นคือขยะพลาสติกดีๆ นี่เอง

(อัตราความเชื่อ 8 เกือบจะซื้อแล้วสิ)


อันดับ 17: Bombs Away!

1915: เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงนะครับ วันที่ 1 เมษายน 1915 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักขับเครื่องบินนาวาของฝรั่งเศสได้บินบนที่ตั้งค่ายทหารเยอรมันและหย่อนอะไรที่คล้ายๆ ระเบิดขนาดใหญ่ พวกทหารเยอรมันตกใจกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง แต่แล้วระเบิดก็ไม่ทำงานสักที ทหารเยอรมันเลยสงสัน ค่อยๆ มาใกล้ลูกระเบิดอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบก็พบว่ามันไม่ใช่ระเบิด แต่เป็นลูกฟุตบอลขนาดใหญ่ที่เขียนว่า "April fool!(เทศกาลคนโง่จ้า)"

(อัตราความเชื่อ ไม่มี)


อันดับ 18: แครอทพันธุ์ใหม่ (Whistling Carrots)

2002: โลกตะลึง!! ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ประเทศอังกฤษนาม Tesco ได้จัดทำโฆษณาประกาศว่าพวกเขาได้ออกสินค้าใหม่ชื่อ 'Whistling Carrots' เป็นหัวผักกาดแดง(แครอทนั้นแหละ)ที่ดัดแปลงพันธุกรรมอย่างเสร็จสมบูรณ์แบบ โดยแครอทชนิดพิเศษนี้มีจุดเด่นคือภายในจะมีโพรงมากมาย เวลาเหล่าแม่บ้านนำแครอทไปทำอาหาร โพลงเหล่านั้นจะส่งเสียงหวีดๆ เหมือนเสียงผิวปาก เสมือนแครอทเหล่านี้ร้องเพลงนั้นเอง

(อัตราความเชื่อ 9 แหม....ปี 2002 อะไรก็เป็นไปได้นี้)


ขอบคุณที่มาจาก เด็กดี

Wednesday 31 March 2010

Ball's Pyramid





Ball's Pyramid is an erosional remnant of a shield volcano and caldera that formed about 7 million years ago. Ball's Pyramid is 20 km (13 miles) southeast of Lord Howe Island in the Pacific Ocean. It is 562 m (1844 ft) high, while measuring only 200 m (656 ft) across, making it the tallest volcanic stack in the world. It is part of the Lord Howe Island Marine Park.


Ball's Pyramid has a few satellite islets. Observatory Rock and Wheatsheaf Islet lie about 800 m WNW and 800 m WSW, respectively, of the western extremity of Ball's Pyramid. Southeast Rock is a pinnacle located about 3.5 km southeast of Ball's Pyramid. Like Lord Howe Island and the Lord Howe seamount chain, Ball's Pyramid is based on the Lord Howe Rise, part of the submerged continent of Zealandia.




Ball's Pyramid from a link, youtube



History

The pyramid was named after Lieutenant Henry Lidgbird Ball who discovered it in 1788 at the same time he discovered Lord Howe Island. The first person to go ashore is believed to have been Henry Wilkinson in 1882, who was a geologist at the New South Wales Department of Mines.

The first successful climb to the summit was made on 14 February 1965 by a team of climbers from the Sydney Rock Climbing Club, consisting of Bryden Allen, John Davis, Jack Pettigrew and David Witham.

There had been an earlier attempt in 1964 by another Sydney team that included adventurer Dick Smith (then just 20 years old) and other members of the Scouting movement. They were forced to turn back on their fifth day running short of food and water. In 1979 Smith returned to the pyramid, together with climbers John Worrall and Hugh Ward, and they successfully reached the summit. At the top they unfurled a flag of New South Wales provided to them by Premier Neville Wran and declared the island Australian territory (a formality which it seems had not previously been done).


Fauna




In 2001, a team of entomologists and conservationists landed on Ball's Pyramid to chart its flora and fauna. To their surprise they rediscovered a population of the Lord Howe Island stick insect (Dryococelus australis) living in an area of six by 30 metres, at a height of 100 metres above the shoreline, under a single Melaleuca howeana shrub. The bush is growing in a small crevice where water was seeping through cracks in the underlying rocks. This moisture supported relatively lush plant growth which had, over time, resulted in a build up of plant debris, several metres deep. The population was extremely small, only 24 individuals. Two pairs were brought to two Pacific zoos to breed new populations. On the unsuccessful 1964 climb, Dave Roots had brought back a photograph of the insect, which the Australian Museum told him they thought was extinct.


Source: wikipedia

----------------------------------------------------------------------------------





Ball's Pyramid พีระมิดของบอลล์ เป็นเกาะหินกลางทะเล ที่มีรูปทรงพีระมิดที่หลงเหลือจากการระเบิดของภูเขาไฟ ที่คาดว่ามีอายุประมาณ 7 ล้านปี ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก มันถูกค้นพบในปี 1788 ซึ่งในตอนแรกคาดว่ามันจะปราจากสิ่งมีชีวิตบนเกาะนั้น จนกระทั้งในปี 2001 เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบครั้งยิ่งใหญ่บนเกาะบอลล์พีระมิด


- ในปี 2001 ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแมลงที่คาดว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากไม่มีการพบเห็นพวกมันกว่า 70 ปีล่วงมาแล้ว แมลงนั้นคือ ตั๊กแตนกิ่งไม้ Lord Howe Island stick insect หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Dryococelus australis

- หรือชื่อที่ที่เป็นฉายาของพวกมันตามลักษณะรูปร่างของพวกมันคือ ล็อปสเตอร์บก (Land Lobsters) หรือ ไส้กรอกเดินได้ (Walking sausages)

- พวกมันเป็นแมลงไร้ปีก ความยาวกว่า 17 เซนติเมตร จึงยังคงเป็นปริศนา อยู่ว่าพวกมันเดินทางมายัง เกาะพีระมิดของบอล ได้อย่างไรเนื่องจากเกาะนี้ตั้งโดดเดียวบนมหาสมุทรกว่า 20 กิโลเมตร จากเกาะ Lord Howe ที่เป็นแหล่งอาศัยของพวกมัน ( คาดว่าพวกมันอาจถูกนกจับมาเป็นเหยื่อ เลี้ยงลูกนก แต่เมื่่อมาถึงเกาะอาจหนีรอด จนสืบต่อลูกสืบหลานจนถึงทุกวันนี้ )

- บนเกาะค้นพบแมลงกว่า 24 ชนิด


ที่มา: ที่นี่ดอทคอม

Monday 29 March 2010

มาดูสถานที่ผลิตโทรศัพท์มือถือ


IMEI (อีมี่) หรือ International Mobile Station Equipment Identity เป็นรหัสประจำตัวเครื่องโทรศัพท์แต่ละเครื่องที่มีจำนวน 15 หลัก ท่านสามารถเช็ครหัสอีมี่ได้ด้วยการกดแป้น *#06# หลังจากนั้น จะได้ชุดตัวเลขซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่


- กลุ่มที่หนึ่ง TAC (Type Approval Code) ประกอบด้วยตัวเลข 6 ตัวแรก ที่ระบุที่อยู่ของโทรศัพท์ โดยสองตัวแรกจะเป็นรหัสประเทศนั้นๆ อาทิ ประเทศไทยจะเป็นเลข 49 เป็นต้น

- กลุ่มที่สอง FAC (Final Assembly Code) ตัวเลขลำดับที่ 7-8 จะระบุถึงโรงงานประกอบโทรศัพท์ เช่น โนเกีย จะเป็นเลข 30

- กลุ่มที่สาม SNR (Serial Number) ตัวเลขลำดับที่ 9-14 เป็นหมายเลขประจำเครื่อง

- กลุ่มที่สี่ หรือ กลุ่มที่ 4 SP (Spare) ตัวเลขลำดับที่ 15 เป็นตัวเลขสำรองหลักสุดท้าย


ในที่นี่เราจะมาดูแค่สถานที่ผลิตมือถือกัน!

เช็คกันง่ายๆเลย แค่กดเครื่องหมาย *#06# หมายเลขรหัสจะปรากฎขึ้นมา
ให้ดูหมายเลขตำแหน่งที่ 7 และ 8

เช่น 356927 00 872361 2

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 02 หรือ 20 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบใน ประเทศจีน ซึ่งมี คุณภาพต่ำ

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 08 หรือ 80 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตใน ประเทศเยอรมัน ซึ่งมี คุณภาพปานกลาง

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 01 หรือ 10 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งมี คุณภาพดีมาก

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 00 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตจากโรงงานผลิตโดยตรงซึ่งมีคุณภาพดีที่สุด

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 13 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบที่ ประเทศอาเซอร์ไบจัน ซึ่งมี คุณภาพเลวและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ


แล้วมือถือของคุณล่ะ ผลิตที่ประเทศใด ^__^

ค้นหารัก รู้จักหัวใจตัวเองกับเดือนเกิด‏




มกราคม / หัวใจของเธอคือแผ่นศิลาของแท้

หัวใจของเธอหนักแน่นเป็นแผ่นศิลาที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวทั้งลม ฝนและแดดแผดเผา เธอมีลูกอึดต่อความรักจนน่ายกย่อง พร้อมจะรอคอยใครบางคนของเธอ ด้วยความอดทนอย่าง สูง (โอ้โห...) แม้ว่าเค้าอาจจะไปกิ๊กคนอื่น โดยเธอเป็นคนแอบรักเขาข้างเดียว เธอก้อจะแอบรักต่อไปและเป็นเวลาที่นานมากๆ จนถูกคนอื่นมองว่าเธอบ้ารักคนเดียว อุปสรรคทั้งหลายจึงดูเป็นเรื่องขี้แมลงวันสำหรับหัวใจแกร่งรักอย่างเธอ



กุมภาพันธ์ / หัวใจของเธอติดสปริงดึ๋งดั๋ง

หัวใจเธอเหมือนติดสปริงชั้นดี มันพร้อมจะเด้งดึ๋งไปคนนู้นที คนนี้ที เธอจึงมักถูกเพื่อนๆแอบเมาท์อยู่เป็นประจำ ในเรื่องของคนที่เข้ามากิ๊กกับเธอ (แต่ทำไงได้ ก้อคนมันเสน่ห์แรงอ่ะ) เธอ เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว รวมถึงเรื่องความรักด้วย ทั้งตกหลุมรักอย่างว่องไว และถอนตัวอย่างว่องไว แน่นอนว่าเธอจะไม่ทนอยู่กับคนรักที่งี่เง่าเจ้าปัญหา และไม่ยอมทนอยู่กับความรักที่เต็มไปด้วยปัญหาปวดหมองแน่นอน



มีนาคม / เธอชอบให้คนรักเป็นลูกแมวเหมียว

เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการเลือกคนรัก มองแวบเดียวเธอก้อรู้ว่าเค้าจะเป็นคนรักของเธอได้ดีแค่ไหน แต่ข้อเสียของเธอก้อคือเมื่อเธอกิ๊กกะใคร เธอจะพยายามทำให้เค้าเป็นลูกแมวเหมียว ที่เชื่องกับเธอ (เมี๊ยววว...) พูดอะไรก้อต้องเห็นดีตามเธอไปซะหมด การที่เธอทนต่ออุปสรรคแห่งความรักได้มากแค่ไหนนั้น จึงขึ้นอยู่กับเขาด้วยว่า เขาเป็นเด็กดีของเธอแค่ไหนกันด้วย



เมษายน / สับสนและอ่อนไหวตลอดกาล

เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้อ่อนไหวและสับสนในความรัก โดยเฉพาะถ้าคนรักของเธอไม่ให้ความสนใจกับเธอเท่าที่เธอต้องการหรือเรียกร้อง เธอจะแสนน้อยอกน้อยใจ โดยเก็บมันไว้อยู่ในอก(แล้วเขาจะนั่งญาณรู้ได้ไงล่ะเนี่ย) เธอจึงมักพบกับความว้าเหว่และความเหงาในความรักอยู่เสมอ การที่เธอจะทนต่อความรักที่มีปัญหาได้มากน้อยแค่ไหนนั้น จึงขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเธอในขณะนั้น เพราะเธอเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ



พฤษภาคม / รักนี้มีแต่ให้

เธอรักใครแล้วก้อพร้อมที่จะยอมให้จนหมดเนื้อหมดตัวเพื่อคนที่เธอรัก และเมื่อคนๆนั้นของ เธอแสดงออกให้เธอเห็นว่าเขารักเธอมากแค่ไหน เธอก้อจะยิ่งซาบซึ้งและเกิดอาการหลงใหลในตัวเขาอย่างที่สุด เธอยังแยกไม่ออกระหว่างความรักกะความสงสาร ความรักกะความหลง และความรักด้วยอารมณ์กะความรักด้วยเหตุผล ความรักของเธอจึงเจอะเจอปัญหาอยู่บ่อยครั้ง



มิถุนายน / โปรดระวังรักแล้วเพี้ยน

ความรักที่เธอโคจรไปจอดป้าย stop นั้น มักจะเป็นความรักที่สวยสดงดงาม เต็มไปด้วยสีสันสนุกสนานสุด ๆ เธอจึงมองความรักเพียงแง่เดียว และเธอก้อมักจะเกิดอาการเพี้ยนเพราะความรักได้ทุกเวลา ดังนั้นหากความรักของเธอเกิดความวุ่นวายขึ้น ยากที่เธอจะควบคุมและจัดการกับมันให้สงบลงได้ เพราะเธอจะเป็นคนที่สติแตกเป็นคนแรกน่ะสิ



กรกฎาคม / ดวงทุกด้านผูกติดไว้กับดวงความรัก

เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องรักอีกคน เพื่อนๆสามารแบกน้ำตาใส่โอ่งมาปรึกษาปัญหาหัวใจ กับเธอ และยิ้มร่าพบทางสว่างกลับไปแทบทุกราย และสำหรับตัวเธอก้อสามารถเลือกคู่กิ๊กได้เหมาะสมกับเธอดี และที่พิเศษแตกต่างจากคนอื่นๆ ดวงเกือบทุกดวงของเธอถูกผูกติดไว้กับดวงความรัก ถ้าความรักวูบเมื่อไร ดวงอื่นๆก้อจะตะต่ำลงด้วย (หูย..อันตรายๆ)


สิงหาคม / ผู้ผ่านความรักมิใช่น้อย

เธอไม่ต้องกลัวเลยว่าชีวิตนี้จะโชคร้ายได้อยู่เป็นโสด เพราะดวงของเธอชี้ชัดว่ายังไงซะเธอจะต้องเดินทางผ่านความรักไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง (โชกโชนและช่ำชอง อิอิ) แล้วจึงจะได้ร่อนการ์ด แต่งงาน เธอจึงจะมีประสบการณ์เรื่องความรักที่ไม่น้อยหน้าใครเลย ระดับความอดทนเพื่อเอาชนะอุปสรรคดานความรักของเธอก้อมีอยู่มากทีเดียวแหละ



กันยายน / รักด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล

คนที่เธอจะเลือกเป็นคู่กิ๊กของเธอนั้น เธอจะเลือกด้วยความรู้สึกว่าโดนหรือไม่โดนเท่านั้น เหตุผลอื่นๆถูกลืมไปได้เลย เพศตรงข้ามที่ชวนให้เธออยากเป็นกิ๊กด้วย มักจะเป็นคนอารมณ์ละเอียดอ่อนบอบบางและอ่อนโยน และในทางตรงกันข้าม เธอจะไม่สามารถอดทนกับคนที่ชอบวางมาด บ้าอำนาจกับเธอ อ้อ..โอกาสที่เธอจะแต่งงานเร็วม ีสูงด้วยนะ



ตุลาคม / รักคือสิทธิเสมอกัน

ความรักสำหรับเธอคือสิทธิที่เท่าเทียมกันทั้งหญิงและชาย อย่าหวังจะให้เธอต้องคอยเดินตามก้นเขาฝ่ายเดียว หรือจะต้องน้อมรับแต่คำสั่งของเธอ ความรักที่เป็นอุปสรรคสำหรับเธอมากที่สุด คือความรักที่ขาดความเท่าเทียมและเสรีภาพ เธอจะไม่มีวันยอมถูกกดหัวได้ตลอดไป



พฤศจิกายน / ต้องการคนรักที่เป็นที่พึ่งทางใจ

เธอเป็นโรคโหยหาความรัก อยากมีกิ๊กมากกว่าที่เพื่อนๆอยากจะมี กิ๊กของเธอนั้นคือคนที่มี ค่าต่อจิตใจเธอ ให้ความอบอุ่นเป็นที่พึ่งทางจิตใจได้เสมอ แต่อารมณ์ของเธอยังไม่ค่อยมั่นคงนัก ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น เธอเองมักจะเป็นคนจุดไฟขึ้นมาซะเอง และไม่ค่อยสนใจที่จะดับมันซะด้วย เพราะเธอเข้าข่ายประเภทชอบเรียกร้องความสนใจซะด้วยอ่ะดิ



ธันวาคม / ผู้มีเสน่ห์อันร้ายกาจ

เสน่ห์ของเธอมีอานุภาพรุนแรงทั้งต่อเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน (โอ้...น่าสนใจๆ) ที่พากันกิ๊กในนิสัยใจคอของเธอ รู้แล้วยืดอกได้เลยว่า ความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เธอเป็นอยู่ คือน้ำหอมที่ใครๆก้อยอมให้ใจ ถ้าได้คลุกคลีอยู่ใกล้ๆเธอ ข้อแนะนำสำหรับเธอคือ อย่ากิ๊กกับใครด้วยแรงเชียร์ของคนอื่น เธอจะต้องหาเองและเลือกเอง แล้วปัญหารักใดๆ เธอก้อจะฝ่าไปได้แน่นอน

Sunday 28 March 2010

Democritus (The atom theory)

I just came across with the my new knowledge about the great philosophers with his atom theory. His name is Democritus. What made me interested in this is not about the atom but the way the writer, Jostein Gaarder wrote in his book I'm reading called "Sophie's World".


Democritus  is the greek name which means "chosen of the people" (ca. 460 BCE – ca. 370 BC). He was an Ancient Greek philosopher born in Abdera, Thrace, Greece.He was an influential pre-Socratic philosopher and pupil of Leucippus, who formulated an atomic theory for the cosmos. Democritus was also known for being the first person for putting his ideas about atoms.


Democritus believed that atoms have various shapes. They are so different that they can join together in all kind of different bodies. They are eternal, immutable and indivisible. The atoms disperse and can be used again in new bodies because there are hooks and barbs.


Jostein Gaarder compared the atom as 'lego' (the ingenious toy). Lego blocks have different sizes and shapes, also have hooks and barbs so that they can be connected to form a figure. They can be broken and connected again with another to form the new thing but they will never disappear. Like the lego that we play and take them out as one block and form them again as the part of house and another day a part of car.


What an interesting lesson!!


* * * * * * * * * * * * * * * * * *


ทฤษฎีอะตอมของ ดีโมครีตุส (Democritus)


ดีโมครีตุส เป็นคนแรกที่เสนอทฤษฎีอะตอมของสสารขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1. สารทุกชนิดประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดซึ่งไม่สามารถแยกต่อใปได้อีก เรียกว่าอะตอม และอะตอมนี้จะไม่มีการสูญหายหรือเกิดขึ้นใหม่ได้

2. อะตอมของสารทุกชนิดจะเหมือนกันหมดแต่โครงสร้างการจับตัวของอะตอมของสารแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นสารต่างชนิดกันจึงมีอะตอมเหมือนกัน แต่การจับตัวของอะตอมต่างกันเท่านั้น

3. ที่ว่างระหว่างอะตอม (Void) อะตอมสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระในที่ว่างนี้



ข้อมูลภาษาไทย:  http://www.icphysics.com/

The Art of Banknote
















































Source: forward email

You Can Never Tell

I watched "Pulp Fiction" once. Although I didn't uuderstand it (the film by Quentin Tarantino!), I did really enjoy the dancing contest scene by John Travolta and Uma Thurman. It made me smile every time I watch it. I think it's the classic scene, the way she danced .... I LOVE IT!!

So, here is the song I choose: You Can Never Tell by Chuck Berry.




"You Never Can Tell" is a rock and roll song by Chuck Berry. It was composed while he was in prison for intent to commit a sex crime. The song was originally released in 1964 on the album St. Louis to Liverpool. The song reached number 14 on the US Billboard Hot 100 and reached 23rd on the UK music chart. Originally performed and released by Chuck Berry, the song has also been covered by Status Quo, Roch Voisine, Emmylou Harris, Bob Seger, Chely Wright , John Prine, New Riders of the Purple Sage and Bruce Springsteen.


Description

The song describes a fictional wedding between a young couple and the events afterwards. Living in a modest apartment, the jobless young man finds work and, together with his spouse, they find prosperity. They use the money to expand their music collection and eventually purchase a family car to drive to New Orleans to celebrate their anniversary, where they had originally met. The chorus of the song is "'C'est la vie', say the old folks, 'it goes to show you never can tell'".


Pulp Fiction

The song became briefly popular again for a time in 1994 after the release of the Quentin Tarantino film Pulp Fiction. The music was played for a contest at the fictional restaurant Jack Rabbit Slim's in which John Travolta as Vincent Vega and Uma Thurman as Mia Wallace danced for the contest's main prize. The music added an evocative element of sound to the narrative and Tarantino said that the song's lyrics of "Pierre" and "Mademoiselle" gave the scene a "uniquely 50's French New Wave dance sequence feel".






It was a teenage wedding, and the old folks wished them well

You could see that Pierre did truly love the madamoiselle

And now the young monsieur and madame have rung the chapel bell,

"C'est la vie", say the old folks, it goes to show you never can tell



They furnished off an apartment with a two room Roebuck sale

The coolerator was crammed with TV dinners and ginger ale,

But when Pierre found work, the little money comin' worked out well

"C'est la vie", say the old folks, it goes to show you never can tell



They had a hi-fi phono, boy, did they let it blast

Seven hundred little records, all rock, rhythm and jazz

But when the sun went down, the rapid tempo of the music fell

"C'est la vie", say the old folks, it goes to show you never can tell



They bought a souped-up jitney, 'twas a cherry red '53,

They drove it down to Orleans to celebrate the anniversary

It was there that Pierre was married to the lovely madamoiselle

"C'est la vie", say the old folks, it goes to show you never can tell



Source: wikipedia

Listen!

Sometimes a problem should never be a problem if you really listen or be a good listener.

Have you ever been in the situation like the cartoon below? It is supposed to be funny but it's not really funny actually!






Listen before you assume the worst or jump to conclusions...



Source: forward email